จำนวนผู้เยี่ยมชมหน้านี้
ผมเกิดมาในตระกูลที่หากแยกระดับลงไปแล้ว อาจจะเรียกว่าอยู่ในระดับยากจนแต่ไม่ถึงกับมาก พ่อมีอาชีพเป็นข้าราชการ ระดับที่บอกได้ว่าตอนเกษียณเงินเดือนเพิ่งได้รับในระดับ C3 ปัจจุบันก็เทียบได้เท่ากับข้าราชการบรรจุใหม่ วุฒิปริญญาตรี แม่มีอาชีพทำนา ทำนาอยู่ 6 ไร่ เป็นที่มรดกที่แม่ได้รับมาจากยาย ส่วนพ่อไม่มีมรดกอะไรเลย แต่พ่อบอกว่าไม่ใช่ไม่มี เพียงแต่พ่อไม่ไปรับและบอกยกให้กับพี่น้อง พ่อบอกว่ามีเพียงแค่นี้ก็พอแล้ว พ่อแม่มีลูก 3 คน หลังจากการเรียนทุกคนก็ช่วยแม่ทำนาที่มีอยู่ด้วยแรงของคนในบ้าน มีนานๆ ครั้งเหมือนกันที่ทำไม่ทันก็จ้างเขาบ้างเล็กน้อย
การดำเนินชีวิตของครอบครัวในวัยเด็ก ผมจำได้ว่าพ่อสอนเราสามคนพี่น้องให้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความพอเพียง และสิ่งที่พ่อเน้นย้ำมากที่สุดคือเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริต พ่อจะตื่นเช้าตลอด และก็จะเปิดวิทยุฟังข่าวสารบ้านเมืองต่างๆ ดูเหมือนพ่อพยายามจะเปิดให้ดังเพื่อให้ลูกทุกคนได้ฟัง โดยเฉพาะรายการธรรมตอนเช้า ที่เทศนาโดยท่านพุทธทาส และหลวงพ่อปัญญา พ่อจะดำรงตนอยู่ในศีลในธรรม เนื่องจากก่อนที่พ่อจะมีครอบครัวมาใช้ชีวิตทางโลก พ่อเล่าว่าพ่อได้บวชในพุทธศาสนาตั้งแต่เป็นสามเณร จนอายุครบ 20 ก็ได้บวชต่อเป็นพระ ศึกษาพระธรรมวินัยจนสำเร็จถึงระดับเปรียญ 5 ประโยค จึงเปรียบเสมือนภูมิคุ้มกันให้พ่อ และพวกเราทุกคนในครอบครัวได้ดำรงตนอยู่อย่างภาคภูมิใจ ดังนั้นสื่อวิทยุจึงเป็นสื่อแรกที่ทุกคนในครอบครัวมี และใช้กันทุกคน สื่ออย่างที่สองที่พ่อเลือกใช้ให้กับคนในครอบครัวคือหนังสือพิมพ์ ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ พ่อจะกลับจากทำงานพร้อมกับหนังสือพิมพ์หนึ่งเล่มทุกวัน พ่อจะอ่านเป็นคนแรก พร้อมกับลูกๆทุกคนนั่งคอยอย่างใจจดใจจ่อเพื่อรออ่านเป็นคนต่อไป สิ่งนี้เป็นการฝึกทำให้ลูกทุกคนมีนิสัยรักการอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อสอนให้ลูกพ่อไม่เคยบังคับ แต่พ่อจะทำให้ดูเป็นตัวอย่าง จนลูกๆ ทุกคนทำตามจนกลายเป็นนิสัยฝังอยู่ในตัวลูกทุกคน และบางอย่างก็ลามไปถึงหลานๆ หลายคนที่อยู่รอบด้าน จนลูกทุกคน และหลานหลายๆ คนประสบความสำเร็จในชีวิต จากนิสัยรักการอ่านที่ถูกปลูกฝังจากพ่อ
การดำรงชีวิตในครอบครัว ข้าวได้จากการทำนาของแม่ หลังจากเก็บข้าวแล้วจะนำมาไว้ในยุ้งข้าวและนวดเพื่อนำไปโรงสีเดือนละครั้ง หากมีรายจ่ายพิเศษก็จะนวดข้าวเพื่อนำไปขายโรงสีนำเงินไปใช้ตามจำนวนที่ต้องการเท่านั้น ต้องบริหารจัดการให้พออย่างน้อยมีกินได้ทั้งปีไม่ต้องซื้อเขากิน กับข้าวก็ใช้เงินเดือนของพ่อแบ่งมาซื้อในวันศุกร์สัปดาห์ละครั้งซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาหารแห้ง เพราะที่บ้านไม่มีตู้เย็น ถ้าเป็นเนื้อหมูบางทีก็ต้องไปฝากบ้านญาติใกล้กันบ้าง ส่วนพี่ชายชอบทำการเกษตรตั้งแต่เด็กๆ พีจะยกร่องปลูกผักต่างๆ หลายชนิด ได้กินกันตลอดไปจนถึงญาติรอบบ้าน พอเก็บข้าวเรียบร้อย พี่ชายก็จะไปตัดฟางมาเพาะเห็ดฟาง กินกันตลอด จนพี่ชายไปเรียนต่อทางการเกษตร จบออกมาก็ได้ทำงานเป็นเกษตรตำบล และมุ่งมั่นเรียนต่อจนปริญญาโท และได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเกษตรจังหวัดจนเกษียณอายุราชการ ทำให้รายจ่ายเรื่องกับข้าวลดลงไปได้เยอะ ส่วนผมก็จะรับหน้าที่หาน้ำมาใส่ห้องน้ำให้เต็มทุกตอนเย็น และหาปลา เก็บผักตามถนน คู คลอง ที่ขึ้นตามธรรมชาติ เก็บพืชผลยืนต้นที่สูงๆ เพราะเป็นคนชอบปีนป่าย โตขึ้นเลยเลือกเรียนทางด้านไฟฟ้า ได้ขึ้นที่สูงสมใจ แต่ตอนเป็นนักเรียนก็ชอบที่จะสอนเพื่อนๆ หลังจากครูได้อธิบายแล้ว แต่เพื่อนไม่เข้าใจ ก็มักจะมาสอบถามให้อธิบายอีกครั้งหนึ่งในวิชาที่เรียนอยู่ตลอด เลยได้มาเป็นครูในปัจจุบัน ส่วนพี่สาวอีกคนก็ต้องรับหน้าที่หุงข้าว ทำกับข้าวให้ทุกคนในครอบครัวกินเป็นส่วนใหญ่ จะเห็นว่าทุกคนมีหน้าที่ช่วยเหลือกันภายในครอบครัว นอกเหนือจากการเรียนหนังสือ ตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกัน ไม่เหมือนกับเด็กในปัจจุบันที่พ่อแม่บอกว่าไม่ต้องทำอะไร ให้เรียนหนังสืออย่างเดียว จบออกมานอกเหนือจากงานที่ทำ งานบ้านก็ต้องจ้างเขาแทบทุกอย่าง แล้วเงินเดือนที่ได้มันจะไปเพียงพอได้อย่างไร
นอกจากเรื่องเรียนหนังสือสิ่งที่ทุกคนต้องรับผิดชอบตัวเองตั้งแต่ขึ้น ป. 5 คือ การซักผ้าและรีดผ้าของตนเอง และอีกอย่างหนึ่งคือการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเอง โดยทุกคนจะได้เงินเดือนจากพ่อ เมื่อเรียนหนังสือชั้น ป. 5 ผมจำได้ว่าเงินเดือนเดือนแรกที่ผมต้องรับผิดชอบใช้จ่ายด้วยตนเองแต่ละเดือน เป็นเงิน 60 บาท จะได้เพิ่มเมื่อได้เลื่อนระดับ แต่ไม่ใช่ ป. 6 นะ แต่เป็นระดับประถมเลื่อนเป็นระดับมัธยมตอนต้น 300 บาท ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) 600 บาท ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) 1,200 บาท และผมยังจำได้ว่าเมื่อจบการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ก่อนสอบเข้ารับราชการได้ ผมมีเงินเก็บอยู่ในธนาคารประมาณ 5,000 บาท นี่คือความพอเพียงในการรู้จักการใช้จ่ายที่เป็นภูมิคุ้มกันในเรื่องของการรู้จักใช้จ่ายและเก็บออมไว้ในยามฉุกเฉิน ที่คนที่ไม่สามารถเก็บออมไว้ได้เพราะคิดว่าทุกเรื่องที่ใช้จ่ายไปสำคัญ ไม่จ่ายไม่ได้ แต่สำหรับคนที่รู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และมุ่งมั่นที่จะนำมาใช้ครองตนก็จะรู้ว่าอะไรที่ไม่ต้องใช้ หรือหากจำเป็นจริงก็อาจจะหาวิธีให้ค่าใช้จ่ายลดลงมา
พ่อจะเป็นคนที่มองอนาคตไกล สิ่งหนึ่งที่พ่อให้กับลูกไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านคือการให้การศึกษา พ่อจะดิ้นรนทุกอย่างเพื่อให้ลูกได้เรียนหนังสือ ปกติพ่อจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทุกอย่าง ยกเว้นสิ่งเดียวคือการสูบบุหรี่ เพราะพ่อบอกว่าสมัยก่อนตอนบวชเป็นพระ สิ่งหนึ่งที่ชาวบ้านจะนำมาถวายพระก็คือบุหรี่ ไปงานไหนก็ต้องมีบุหรี่มาประเคนเป็นลำดับแรก เลยทำให้ต้องสูบมาเรื่อยๆ แต่ผมจำได้ว่ามาช่วงหนึ่งที่ลูกๆ ทุกคนเรียนสูงขึ้น พ่อก็พยายามที่จะลดรายจ่ายเพื่อนำเงินมาให้ลูกใช้ในการเรียน และการเลิกบุหรี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พ่อเลิก และก็เลิกได้ตลอดชีวิตของพ่อเลยไม่มีสิ่งที่เป็นอบายมุข สิ่งเสพติดเหลืออยู่เลย พ่อพูดกับลูกทุกคนเสมอว่า พ่อไม่มีมรดกทรัพย์สินอะไรจะให้ลูก นอกจากการศึกษา ใครอยากได้เท่าไรก็ขอให้ตักตวงให้เต็มที่ พ่อจะส่งเท่าที่ลูกทุกคนอยากจะเรียน แต่ด้วยความที่เรารู้ว่าไม่ได้มีฐานะที่ดีมากนัก รวมทั้งการที่พ่อเพิ่งสึกออกมาใช้ชีวิตทางโลกก็อายุมากแล้ว ทำให้ตอนพ่อเกษียณอายุราชการ ยังไม่มีลูกคนใดสำเร็จการศึกษาเลย พี่ชายคนโตเรียนได้แค่ ปวส. จึงต้องออกมาทำงานก่อนเพื่อจะได้มีรายได้มาส่งน้องที่เหลืออีก 2 คน โดยการสมัครสอบเข้ารับราชการในตำแหน่งเกษตรตำบล และได้รับการคัดเลือกในลำดับที่ 2 พี่สาวเรียนจนจบปริญญาตรี ส่วนผมเมื่อเรียนจบระดับ ปวช. ได้ขอพ่อออกมาหางานทำเพื่อพ่อจะได้ไม่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเรื่องการเรียนของลูกอีก แต่สิ่งที่พ่อตอบคือพ่อจะยังไม่อนุญาตให้ลูกออกจากการศึกษา จนกว่าจะจบการศึกษาอย่างต่ำ ในระดับ ปวส. นี่คือสาเหตุที่ผมต้องเรียนจนจบการศึกษาในระดับ ปวส. เมื่อจบออกมาแล้ว มีผู้มาบอกว่าจะพาไปเข้าทำงานในรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง แต่ต้องใช้เงินห้าหมื่นบาท ผมรู้ดีว่าเราไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก ถ้าเลือกจะทำงานในรัฐวิสาหกิจแห่งนั้น หมายถึงต้องไปกู้เงินมาให้เขา และเราทั้งหมดถูกสอนมาให้ดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง ซื่อสัตย์สุจริต ผมเลยบอกแม่ว่าไม่ต้องเอาหรอกแม่ เดี๋ยวลูกจะไปสอบเอาเองด้วยความสามารถของเรา จึงออกมาสมัครเข้าสอบเป็นครูสังกัดอาชีวศึกษา และสอบได้ในลำดับที่ 10 เข้าทำงานรับราชการเป็นครู ตั้งแต่เรียนจบในระดับ ปวส. ส่วนพี่สาวเมื่อจบออกมาก็ไปสอนในโรงเรียนเอกชน และพยายามเรียนต่อในสายครูเพิ่มเติม จนสอบเข้ารับราชการเป็นครูได้ลำดับที่ 1ต่อมา สรุปเราสามพี่น้องสามารถเข้ารับราชการได้ทุกคนสมความตั้งใจของพ่อและแม่
ตอนลูกๆ ทุกคนกำลังเรียนหนังสืออยู่ในบ้านมีเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงหม้อหุงข้าว 1 ใบ และพัดลมไฟฟ้า 1 ตัว นอกนั้นไม่มีอะไรเลย แม้แต่ทีวี ถ้าอยากดูก็ต้องไปดูบ้านอื่น เจ้าของบ้านยินดีให้ดูบ้างไม่ยินดีบ้าง แต่ด้วยความอยากดูตามประสาเด็ก หากเจ้าของไม่ยินดีให้ดูก็ต้องแอบดูตามรอยแตกของบ้านเอา เนื่องจากบ้านสมัยก่อนเป็นไม้ส่วนใหญ่ ไม้จะแตกพอให้แอบมองเข้าไปได้ก็ต้องทำ จำได้ว่าเมื่อลูกๆ ทุกคนได้ทำงานที่บ้านถึงเริ่มมีทีวีไว้ดู ตู้เย็นไว้แช่อาหารสด และน้ำเย็นดื่ม สิ่งนี้อยากจะบอกว่าพ่อดำรงชีวิตอยู่ด้วยความพอเพียง ในชีวิตของพ่อไม่เคยเป็นหนี้ พ่ออยากได้สิ่งของก็จะพยายามเก็บเงินให้เพียงพอสำหรับสิ่งนั้นก่อนถึงจะซื้อ พ่อไม่เคยกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อซื้อสิ่งของต่างๆ ที่อยากได้ แม้แต่ช่วงที่ลูกๆ เริ่มศึกษาในระดับสูงที่ต้องใช้เงินมากขึ้น พ่อก็ยอมลาออกจากสหกรณ์ครูที่เคยสะสมเงินไว้ทุกเดือน และนำเงินส่วนนั้นมาใช้ในการศึกษาของลูกแทนการกู้เงินจากสหกรณ์มาใช้ ซึ่งถือเป็นภูมิคุ้มกันอีกอย่างหนึ่งตามวิถีชีวิตการดำเนินตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ใครๆ อาจบอกว่าครูเป็นอาชีพที่มีหนี้สินมาก แต่สำหรับผมขอบอกว่าไม่ว่าอาชีพอะไรก็เป็นหนี้ได้ทั้งนั้น หากไม่รู้จักการดำเนินชีวิตด้วยความพอเพียง คนที่บอกว่าเป็นหนี้ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตด้วยการกู้เงินในอนาคตมาใช้ก่อน เห็นใครมีอะไรก็อยากจะมีบ้าง ไม่มีเงินก็กู้มาจับจ่ายใช้สอยก่อน และใครให้กู้ก็กู้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และบอกว่าเป็นเรื่องจำเป็น แต่ผมบอกได้เลยว่าคนที่กู้เงินมาใช้ส่วนใหญ่ที่กู้เงินมาใช้จำเป็นไม่กี่เรื่อง ส่วนใหญ่กู้มาเพื่อซื้อในสิ่งที่ต้องการทำให้ตนสบาย มีหน้ามีตาในสังคม เช่น กู้เพื่อซื้อรถยนต์ หรือซื้อเพื่อเปลี่ยนของเก่าให้เป็นของใหม่ คนที่เป็นหนี้ด้วยเรื่องอย่างนี้มีเยอะ และอีกประเภทหนึ่งคือไม่รู้จักการเก็บออม เรียกว่าไม่รู้จักการวางแผนชีวิตในอนาคต เดือดร้อนเข้าก็วิ่งหากู้มาใช้อย่างเดียว ไม่มีใครที่จะจนตลอดหรอก หากตอนมีรู้จักเก็บออม สรุปที่กล่าวมาทั้งหมดก็คือไม่รู้จักอยู่อย่างพอเพียง ทำตัวแข่งขันกับคนมี ไม่รู้จักพอประมาณ ยกตัวอย่างเรื่องอาหาร บางคนบอกว่าอาหารมีราคาแพง ทำไม่จะไม่แพงในเมื่อซื้อของราคาแพงมากิน ต้องกินอาหารร้านอาหารสัปดาห์ละครั้ง คนเป็นหนี้เดินทางไปไหนมาไหนโดยเครื่องบิน เป็นต้น
ตัวอย่างอีกอย่างหนึ่งของพ่อของการเป็นคนที่รู้จักวางแผนการในอนาคตที่มองเห็นได้ชัดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สมัยก่อนบ้านของเราอยู่ในชนบท ไม่มีน้ำประปาใช้ แต่พ่อก็รู้จักวางแผนการใช้น้ำโดยที่บ้านจะขุดบ่อไว้ 1 บ่อ และรอบบ้านของเราจะมีโอ่งขนาดใหญ่ สำหรับเก็บน้ำฝนไว้รอบบ้าน เรียกได้ว่ามากที่สุดในหมู่บ้านเลย จากความจำคิดว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 20 ใบ และมีแท้งค์น้ำอีก 1 ใบ ทำให้ที่บ้านไม่ต้องกลัวหน้าแล้ง ที่บ้านมีน้ำกินน้ำใช้ตลอดทั้งปี และยังเหลือเผื่อแผ่ให้ญาติที่อยู่โดยรอบในบางปีที่ต้องเผชิญกับภัยแล้ง แต่ผมจำได้ว่า 20 ปีที่อาศัยอยู่บ้านเกิด มีอยู่เพียงปีเดียวที่ต้องไปอาบน้ำจากบ่อบาดาลในวัดที่ขุดไว้เนื่องจากในปีนั้นแล้งจนน้ำในบ่อที่มีอยู่ก็ไม่มีน้ำออกมาให้ใช้ได้ทัน แต่เรื่องน้ำกินน้ำใช้ไม่เคยอด